แนวโน้มหลังสหรัฐฯ ปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศ
แนวโน้มหลังสหรัฐฯ ปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย
เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศ
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า การที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ประกาศปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ จากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (Priority Watch List: PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้แก่นักลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งไม่จำกัดแต่เพียงประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสในการลงทุนของนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ ที่มองเห็นศักยภาพของประเทศไทยด้วย
ประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ แสดงความพอใจและนำมาสู่การปรับสถานะดังกล่าว เกิดจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่มีการกำหนดเป็นนโยบายประดับประเทศที่ชัดเจน โดยผู้นำระดับสูงของประเทศให้ความสำคัญส่งผลให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังจนเห็นผลเป็นรูปธรรม (2) การพัฒนาการจดทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า เช่น การเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจำนวนมาก ทำให้การจดทะเบียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (3) การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ และ (4) การเสริมสร้างความโปร่งใสโดยเปิดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียในประเด็นต่างๆ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 77
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร เพื่อปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวจะไม่กระทบต่อขอบเขตการคุ้มครองหรือมาตรฐานการตรวจสอบสิทธิบัตรแต่อย่างใด เช่น กำหนดระยะเวลาการประกาศโฆษณาคำจดทะเบียนภายใน 18 เดือนนับแต่วันยื่นคำขอในไทย การลดระยะเวลาการขอให้ตรวจสอบจาก 5 ปีนับแต่วันประกาศโฆษณา เป็น 3 ปีนับแต่วันยื่น
คำขอในไทย กำหนดให้คัดค้านได้เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วแต่ก่อนออกสิทธิบัตร เป็นต้น รวมทั้ง ยังเป็นการแก้ไขบทบัญญัติ เรื่องการบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรเพื่อรองรับพันธกรณี Doha Declaration on TRIPS and Public Health อีกด้วย”
นายทศพล กล่าวทิ้งท้ายว่า “การปรับสถานะของไทยดังกล่าวกรณีจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และที่สำคัญช่วยส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อนตามนโยบาย Thailand 4.0 ต่อไป”
------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์
กรมทรัพย์สินทางปัญญา
โทร. 02 5474696